เครื่องเสียง เป็นอีกหนึ่งสิ่งบันเทิงภายในรถยนต์ จึงมีเจ้าของรถจำนวนมาก ที่ให้ความสำคัญของการเลือกเครื่องเสียง วันนี้เรามีการเลือกซื้อลำโพงสำหรับเครื่องเสียงรถยนต์มาฝากครับ
1. ความไว
เป็นค่าที่บอกประสิทธิภาพของลำโพง โดยเป็นค่าความดัง เทียบกับวัตต์ และระยะห่างจากลำโพง มีหน่วยเป็นเดซิเบลต่อมิลลิวัตต์ต่อเมตร (dB/mw/m) หรือมักเขียนในรูปแบบ dB/mw ซึ่งควรพิจารณากำลังขับสูงสุดที่ลำโพงสามารถรับได้ด้วย เพราะลำโพงบางรุ่นความไวสูง แต่รองรับกำลังขับสูงสุดต่ำ จะเหมาะกับเครื่องเล่นที่มีกำลังขับต่ำ ไม่สามารถรองรับภาคขยายกำลังสูงได้
2. ความต้านทาน
ลำโพงจะมีความต้านทานแปรตามความถี่ ซึ่งมีความต้านทานโดยทั่วไปที่ 4, 6, 8, 16 โอห์ม ยิ่งความต้านทานน้อย ยิ่งต้องใช้กระแสมากเพื่อให้ได้วัตต์สูงหรือเสียงที่ดังชัด ดังนั้นการใช้ลำโพงแบบ 4 โอห์ม จึงต้องใช้พาวเวอร์แอมป์ช่วย เพื่อเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น มากกว่าลำโพงแบบ 8 โอห์ม แต่ทั้งนี้ค่าความต้านทานไม่ได้สัมพันธ์กับเรื่องคุณภาพของเสียงแต่อย่างใด
3. กำลังขับ
สำหรับลำโพงที่มีกำลังขับสูง สามารถรองรับกำลังขับจากภาคขยายได้สูง จะมีราคาแพง และต้องการกำลังขับในระดับทั่วไปที่ค่อนข้างสูง จึงจะได้เสียงที่ดีตามประสิทธิภาพของลำโพง แต่สำหรับลำโพงกำลังขับต่ำ รองรับกำลังขยายได้ต่ำ เมื่อนำมาใช้งานกับภาคขยายที่สูงกว่ามาก อาจทำให้ลำโพงพังได้
4. การตอบสนองความถี่
ลำโพงแบบ Full range ที่ใช้ลำโพงตัวเดียวขับเสียงทุกความถี่ ควรจะสามารถขับเสียงได้ตั้งแต่ 20 – 20 kHz เพื่อให้สามารถแสดงเสียงทุกความถี่ที่คุณสามารถได้ยิน แต่โดยทั่วไปจะมีการแยกลำโพงสำหรับขับเสียงความถี่ต่างๆ ได้แก่ ลำโพงเบส ที่จำเป็นต้องใช้พลังงานสูง และดอกลำโพงที่ใหญ่ สำหรับขับเสียงความถี่ย่าน 20 – 200 Hz และลำโพงเสียงกลาง/สูง (mid high) ที่ใช้ลำโพงดอกเล็กขับเสียงความถี่ย่าน 1,000 Hz นอกจากนี้ยังมีการใช้ tweeter ที่มีขนาดเล็กมาใช้สำหรับขับเสียงแหลมที่มีความถี่มากกว่า 5kHz
5. ขนาดและน้ำหนักของลำโพง
เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน เพราะหากคุณไม่ได้ต้องการลำโพงแบบพกพาที่น้ำหนักเบา รูปร่างเล็กเป็นหลักแล้ว โดยทั่วไป ลำโพงที่มีขนาดใหญ่และหนักจะดีกว่า โดยเฉพาะเกี่ยวกับลำโพงที่เน้นเบส หรือจำพวกซับนั้น ลำโพงที่ใหญ่จะให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า
เลือกลำโพงดี ก็ช่วยเพิ่มความสุนทรีในการใช้งานได้มากขึ้นแล้วนะครับ จะเลือกลำโพงแบบใด ก็อย่าลืมคำนึงถึงความเหมาะสมด้วยนะครับ